๓.๓ ภพ-ชาติ คืออะไร
“ภพ” คือ การกำหนดสถานที่ที่เราจะไป
“ชาติ” คือ การที่เราได้ไปถึงสถานที่นั้น
คำว่า “ภพ” และ “ชาติ” เป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของฝ่ายจิตเป็นสำคัญ ภพชาตินี้ก็เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดำเนินอยู่ ทุกคนจะต้องมีการก่อภพชาติเป็นของธรรมดา
เมื่ออธิบายโดยนัยของ “การมีอัตตา” นั้น ก็มีการก่อภพชาติไปเรื่อยๆ ด้วยความยึดติดว่าตนเองมีตัวตนอันถาวร เช่น ทำบุญหรือบาปไว้ แล้วก็จะมีตัวตนไปรับผลบุญหรือบาปนั้น
เมื่ออธิบายโดยนัยของ “การหมดอัตตา” ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่นั้นก็มียังการก่อภพชาติเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนที่จะเป็นผู้รับผลบุญหรือบาปนั้น
เรื่องภพชาตินี้ควรแยกอธิบายเป็น ๒ ระดับ คือ
๓.๓.๑ ภพ-ชาติ ในระดับกว้าง (ชาติก่อน-ชาตินี้-ชาติหน้า)
ก็คือการตายแล้วเกิดใหม่ อย่างที่เป็นความเชื่อของคนทั่วไปส่วนใหญ่ ตายจากอัตภาพนี้ก็ไปเกิดเป็นอัตภาพใหม่ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่
ในระดับนี้ การเป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นตามได้ยาก แม้แต่พระพุทธองค์เองก็ยังไม่ตอบตรงๆ ว่าชาติหน้ามีหรือไม่ พระองค์ตอบว่า “มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่” ซึ่งเป็นการตอบอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ลองคิดดูว่า ถ้าพระองค์ตอบว่า “มี” พวกที่เต็มไปด้วยความโลภก็จะขวนขวายในการสร้างภพเอาไว้ เพราะหวังจะไปเกิดในภพนั้นตามปรารถนา ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่สามารถกำหนดให้ชัดเจนลงไปได้ว่าจะไปเกิดในภพไหน (อย่างที่เราเกิดมาในชาตินี้ เรากำหนดไว้ก่อนอย่างนั้นหรือ?) มันเป็นแค่ความเสี่ยงเท่านั้นเอง แล้วยิ่งกว่านั้นคนที่สติปัญญาน้อยก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกฉวยโอกาส ซึ่งตั้งท่ารอจะหลอกลวงว่าสามารถกำหนดภพชาติถัดไปได้
ถ้าพระองค์ตอบว่า “ไม่มี” โลกนี้คงจะร้อนเป็นไฟเลยทีเดียว เพราะความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งกันมากยิ่งขึ้น เพราะในเมื่อชาติหน้าไม่มี ดังนั้นถ้าอยากได้อะไรก็รีบหาทางเอามาให้ได้ในชาตินี้ เพราะคิดว่าตายแล้วก็จบกัน หรือคนที่เจอกับเรื่องเดือดร้อนใจ ไม่อยากจะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป ก็ทำการฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าตายแล้วก็จบกัน ระบบศีลธรรมคงจะเสื่อมไปโดยเร็ว เพราะคิดว่าไม่มีชาติหน้า พอเอาตัวรอดในชาตินี้ได้ก็หลงดีใจแล้ว
แต่โดยความเป็นจริงแล้ว เรากำหนดภพชาติตามใจหรือตามความอยากของเราไม่ได้ แม้ว่าเราจะสร้างบุญอันเป็นเหตุสนับสนุนให้มีโอกาสเกิดในภพที่ดี หรือเราจะสร้างบาปซึ่งเป็นเหตุสนับสนุนให้มีโอกาสเกิดในภาพไม่ดี เพราะเหตุปัจจัยแห่งการเกิดภพชาติใหม่นั้นมันขึ้นกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “จุติจิต” คือการเคลื่อนของจิตจากรูปกายนี้ไปสู่รูปกายใหม่ ซึ่งมันจะเป็นไปตาม “สภาพจิตในช่วงขณะนั้น” (วัดเป็นระยะเวลาก็คือเสี้ยววินาที หรือแค่กระพริบตา) ถ้าสภาพจิตกำลังเจือปนหลงกับอารมณ์ที่เป็นอกุศลในขณะนั้นมันก็ไปเกิดในภพที่ไม่ดี แต่ถ้าสภาพจิตกำลังเจือปนหลงกับอารมณ์ที่เป็นกุศลในขณะนั้นมันก็ไปเกิดในภพที่ดี ถ้าคนไม่เคยฝึกฝนให้รู้เรื่องกลไกของสภาพจิตของตน มันก็เหมือนกับจับเกมวัดดวง (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ “คำสอนจากพระโอษฐ์”) ก็ขนาดพระโพธิสัตว์ซึ่งเจริญแต่กุศลเป็นส่วนใหญ่ ก็ยังกำหนดให้ชัดเจนแน่นอนไม่ได้ว่าชาติต่อไปจะไปเกิดเป็นอะไร
นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับการสร้างภพชาติ แต่หลักทางพุทธศาสนาที่แท้จริง “ไม่ได้สอนให้เราสร้างภพชาติ” พระพุทธเจ้าตรัสรู้และบอกสอนทางให้บรรลุถึงสภาพที่เรียกว่า “นิพพาน” อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งภพชาติ นี่คือประเด็นสำคัญที่ควรตอกย้ำ เพราะการเกิดในแต่ละชาตินั้น ล้วนนำมาซึ่ง ความชรา ความเจ็บป่วย ความผิดหวัง ความพลัดพราก และความตาย ซึ่งสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงสิ่งดังกล่าวได้
๓.๓.๒ ภพ-ชาติ ในระดับละเอียด (ปัจจุบันขณะ)
ภพชาติในระดับละเอียดนี้ หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยสามารถเห็นการมีภพชาติได้ในแค่เสี้ยววินาที ยกตัวอย่าง เช่น
การเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเป็นลุกยืน นี่ก็นับได้ว่าเป็นการเกิดภพชาติหนึ่งแล้ว เราสร้างภพก็คือเรามีความอยากว่าจะเลิกนั่งแล้ว เช่น จะลุกไปหยิบของ หรือรู้สึกว่าเจ็บก้นมากก็เลยจะลุกขึ้น ฯลฯ ทีนี้พอเราลุกขึ้นยืนนั่นก็คือเราเกิดชาติใหม่แล้ว
ซึ่งในชีวิตประจำวันของเราแต่ละขณะ เราลองพิจารณาดูจะเห็นว่า เราไม่เคยอยู่นิ่งๆ เลย จิตของเราสั่งให้รูปมีการเคลื่อนไหวอยู่แทบตลอดวัน ฉะนั้น วันหนึ่งๆ ก็นับไม่ถ้วนเลยว่าเราตายแล้วเกิดกี่ภพกี่ชาติ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดภพชาติระดับนี้ถือว่าเป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่กับทุกชีวิต
“ปัญหามันเกิดขึ้นก็ตรงที่ เราไม่ยอมรับกฎธรรมชาติข้อนี้” ดังนั้น หลักคำสอนทางพุทธศาสนาจึงชี้อธิบายเพื่อให้เราเข้าใจและยอมรับกฎธรรมชาติหรือความจริงที่ว่า ทุกสิ่งมีสภาพเป็นทุกข์ คือไม่คงที่ ไม่คงทน (อ่านเพิ่มเติมใน “ทุกขสัจจะ”) เมื่อเราเข้าใจและยอมรับแล้ว อย่างน้อยเราก็คือสามารถลดความเดือดร้อนใจในชาติปัจจุบันได้บ้าง หรืออย่างสูงก็คือสามารถมีสภาพจิตที่เป็น “นิพพาน” ได้อย่างถาวร แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
เรื่องของภพชาตินั้นแม้จะแยกอธิบายเป็น ๒ ระดับ แต่ความจริงนั้น เป็นปรากฏการณ์อันเดียวกัน กล่าวคือ “การจุติจิต” ก็มีอาการหรือกลไกเหมือนกับ “การเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเป็นลุกยืน” เพียงแต่ว่าการจุติจิตมันเกิดขึ้นในเวลาที่เราจะทิ้งรูปกายเดิมไปสู่รูปกายใหม่อย่างถาวร อุปมาอุปไมยแล้วก็เหมือนกับเรานับหน่วยของเวลา วินาทีที่ ๑ ถึง วินาทีที่ ๖๐ เราก็สมมติจัดว่ามันเป็น “นาทีที่หนึ่ง” พอเรานับวินาทีถัดไป เราไม่นิยมนับว่า วินาทีที่ ๖๑ แต่เรากลับสมมติจัดให้มันเป็น “นาทีที่สอง” แต่ถ้ามองโดยภาพรวมเฉพาะหน่วยวินาที มันก็คือวินาทีที่ ๖๑ ซึ่งมันก็เป็นการนับต่อจากวินาทีที่ ๖๐ ความแตกต่างกันมันก็มีค่าเพียง ๑ วินาที นั่นคือ ถ้าเราตัดคำศัพท์สมมติที่ว่า “นาที” ทิ้งไปจากระบบการนับเวลา มันก็จะมีแค่หน่วยการนับที่เป็น “วินาที” เพียงอย่างเดียว พูดเปรียบเทียบก็คือ คำว่า “นาที” ก็คล้ายกับ คำว่า “ชาติ” (ชาติก่อน-ชาตินี้-ชาติหน้า ตามภาษาชาวบ้านทั่วไป) ส่วนคำว่า “วินาที” ก็คล้ายกับ คำว่า “เกิด-ดับ” (ในปัจจุบันขณะนี้ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งมันก็คือ อนิจจัง หรือทุกข์ นั่นเอง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น