๓.๕ ชีวิตที่เราเป็นอยู่นี้ “มีสภาพทุกข์ที่ตัวเราบอกว่าเป็นปัญหา” หรือไม่
หลายคนคิดว่าชีวิตของเราก็ไม่เห็นว่ามันจะรู้สึกเป็นทุกข์ หรือมีปัญหาอะไร นั่นคือคนมองโลกด้วยสติปัญญาแบบหยาบๆ กว้างๆ ก็เหมือนกับไปถามคนชอบอาการเมายา (หรือชอบอาการเมาเหล้า) ซึ่งในขณะนั้นสติปัญญาเขาไม่บริบูรณ์ หรือเขากำลังเหมือนอยู่ในโลกความฝันที่เขาคิดปรุงแต่งหลอกลวงตัวเอง เขาก็จะบอกว่าสภาพของเขาตอนนี้มันมีความสุขดี ไม่เห็นจะเดือดร้อนใจอะไรเลย นี่แหละคือความคิดความเห็นที่แตกต่างกันของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ก็สามารถมองอีกแง่หนึ่งได้ คือ คนเมายา เขาก็มีความสุขหรือพอใจในสภาพที่เขาเป็นอยู่นั้น เพราะเขาไม่ต้องรับรู้เรื่องราวหรือปัญหาอะไร แต่สภาพอาการเมายานั้นมันก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดกาล เมื่อยาหมดฤทธิ์เขาก็ต้องกลับมาเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ตามเดิมเหมือนคนปกติ เมื่อนั้นความรู้สึกเป็นทุกข์ เดือดร้อนใจ ก็มีจังหวะได้ปรากฏขึ้นแก่เขา
ทีนี้สำหรับคนทั่วไปที่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขดีกับชีวิตในปัจจุบัน มันก็มีอาการคล้ายกับอย่างนั้น คือความสุขนี้มันก็ไม่ได้คงอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ด้วยสาเหตุหลักๆ คือ เมื่อร่างกายแก่ชรา เมื่อเกิดการเจ็บป่วย เมื่อเกิดความผิดหวัง เมื่อเกิดความพลัดพรากหรือสูญเสีย และเมื่อความตายมาใกล้จะถึงตัว ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เรียกว่า “ทุกข์” (ทุกขสัจจะ) ทีนี้ลองพิจารณาอย่างถ้วนถี่สิว่า ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว เราจะรู้สึกอย่างไร (คำตอบแบบคาดเดาในตอนนี้ อาจไม่สอดคล้องกับคำตอบเวลาที่สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเราจริงๆ)
แต่ไม่ว่าใครจะตอบอย่างไรก็ช่าง สิ่งที่พบก็คือ คนทั่วไปเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว “ด้วยตนเอง” มักจะเกิดรู้สึกเดือดร้อนใจขึ้นมา (ไม่มากก็น้อย) นั่นคือได้เกิด “สภาพทุกข์ที่ตัวเราบอกว่าเป็นปัญหา” ที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า “มีตัวเรา” เป็นผู้อยากให้อะไรๆ เป็นไปดั่งใจเรา แต่ว่ามันก็ไม่เป็นไปตามนั้นเสียทุกเรื่อง
ถ้าจะอ้างอิงเปรียบเทียบกับประวัติสมัยพุทธกาล เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งเป็นถึงโอรสของกษัตริย์ (ตลอดจนท่านที่เป็นเชื้อพระวงศ์ และบุตรเศรษฐี) ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแต่เพียบพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่ท่านก็ยังบอกว่าเกิด “สภาพทุกข์ที่ตัวเราบอกว่าเป็นปัญหา” เพราะถ้าไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา ท่านเหล่านั้นก็จะไม่หาทางแก้ ทีนี้ถ้าเรายังไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา ก็คือ “ตอนนี้เรากำลังคิดสวนทางกับพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก” เราก็เลยยังไม่สนใจที่จะศึกษาหลักการที่ท่านสอนไว้เพื่อแก้ปัญหา
แต่ถ้าเรายอมรับว่า เราเกิด “สภาพทุกข์ที่ตัวเราบอกว่าเป็นปัญหา” เราก็จะเห็นคุณค่าของสัจธรรมข้อ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสอนไว้ คือ “มรรคมีองค์ ๘” เราจึงเริ่มจะหันมาดำเนินชีวิตหรือปฏิบัติตนไปตามแนวทางนั้นอย่างจริงจังมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น