ครั้งที่ ๕๑ ไม่จำเป็นต้องเนิ่นช้า
ในยุคที่พิมพ์หนังสือกันเป็นว่าเล่น ถูกผิดไม่รู้ (ขอให้ขายดีไว้ก่อน บางเล่มก็ Best Seller แต่ Bad Matter) หนังสือธรรมะก็มีมากจนเลือกอ่านไม่ถูก อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นเรื่องธรรมะ แต่ถ้าสังเกตดีๆก็จะเห็นว่า
- ผู้เขียนแต่ละคนพูดเยิ่นเย้อ พูดมากความ สาธยายปัญญาของตน (ก็ด้วยความปรารถนาดีจะให้ผู้อ่านเข้าใจ) แต่ผลข้างเคียงคือ ผู้อ่านยิ่งจับหลักไม่ได้ อ่านไปก็เพลินดีแต่พออ่านจบแล้วก็เลิกกัน ไม่รู้จะทำอะไรต่ออีก ยิ่งอ่านยิ่งมัน ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ก็เลยยิ่งชอบ แต่ถ้าให้ปฏิบัติ ก็บอก เอาไว้ก่อน
- พระไตรปิฎก มีเนื้อหามาก เพราะมีการนำคำสอนตลอดชีวิตของพระพุทธองค์มารวบรวมไว้ ให้เราเลือกใช้อย่างเหมาะสม "ไม่ใช่เพื่อให้มานั่งจำคำสอนทั้งหมด" ถ้าเรียนอย่างนี้มันเป็นแง่ประวัติศาสตร์ ได้แค่ความรู้ขั้นจดจำและคำนวณ(แบบด้นเดาหรือคาดการณ์)
- ถ้าสังเกตจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนคนแต่ละคนไม่กี่ครั้ง ไม่กี่บท เป้าหมายก็เพื่อชำระความหลงผิดให้เขา ทำให้เขาเกิด "ศรัทธา" (ในคำสอนซึ่งเป็นสัจธรรม มีเหตุผล) แล้วจากนั้นเขาต้องไปทำความเพียร "วิริยะ" เพิ่มศักยภาพในด้าน "สติ-สมาธิ-ปัญญา" เพื่อให้เข้าใจตามคำสอนได้อย่างถ่องแท้ (บรรลุธรรม) ไม่ใช่แค่จำ-คำนวณ แล้วก็จบกัน มันไม่ง่ายอย่างนั้น เขาต้องทำอะไรอีกมากมาย เหมือนเราอ่านหนังสือคนทางโลกที่เขาประสบความสำเร็จ เขาก็ต้องผ่านอะไรมามากมาย ไม่ใช่นั่งคิดเฉยๆแล้วสำเร็จ (แต่ที่บางคนต้องฟังธรรมบ่อยๆ เพราะเดิมสั่งสมปัญญามาน้อย) ประเด็นคือ มันไม่จำเป็นต้องรู้มาก หรือรู้หมดทุกเรื่อง เพราะภาษามันเป็นคำปรุงแต่ง จะแต่งใหม่กี่แบบกี่แง่ก็ได้ ไปตามอ่านตามฟังแล้วเมื่อไรมันจะหมด มันไม่มีวันหมดหรอก เอาแค่พอรู้คร่าวๆ ก่อน พอให้เกิดปัญญาระดับหนึ่ง แล้วลงมือปฏิบัติไป สังเกตศึกษาไปเรื่อยๆ กาลเวลาจะเพาะบ่มไปเอง
- ปัจจุบันกลับส่งเสริมกันให้บ้าบาลี บ้าคำสอน แล้วก็เอามาพูดอวดกัน แข่งกันเก่ง แข่งกันจำ สนทนาธรรมคือการเถียงกันเพื่อจะเอาชนะ ("มานะทิฏฐิ"ท่วมหัวยังไม่รู้ตัว "โทสะ"เผาตัวยังไม่รู้ร้อน) มานั่งเถียงกันโดยอ้างตำรา อ้างครูอาจารย์ ทั้งที่ตัวเองควรไปฝึกตนให้บรรลุธรรมจริงๆก่อน ไอ้คนที่นั่งเถียงกันอยู่นี้บรรลุธรรมอะไรหรือยัง คนที่เขาบรรลุธรรมเขาไม่มานั่งเถียงหรอก "สอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็ปล่อยไป"
- พวกคนโง่ (ตัวเองไม่ฉลาด ก็อ้างตำรา อ้างครูอาจารย์) ก็มานั่งเถียงกันเรื่องนิพพาน เรื่องพระอรหันต์ มันไม่ใช่ของจะรู้ร่วมกันได้ อุปมาเหมือน เราแกล้งเอาน้ำโค้กใส่ในขวดน้ำปลา แล้วนำมากิน พอบางคนเห็นก็(หลง)คิดว่ารสชาติคงจะเค็ม แต่ความจริงคือมันหวาน บทเรียนนี้คือ สิ่งที่เราเห็นมันอาจจะหลอกเราเอง เพราะเราอาศัยความจำเดิมแบบหยาบๆเป็นตัวปรุงแต่งเหตุผล ธรรมะเป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง" รู้เฉพาะตัว (ไปรู้จากที่คนอื่นเขียน คนอื่นพูด มันยังไม่ใช่ปัจจัตตัง) พระตถาคตจึงได้แค่ บอกทางให้ไปดูไปชิม ถ้าสาวกไม่ออกเดิน มัวแต่นั่งอ่านคำสอน แล้วเมื่อไรจะไปถึง หรือเมื่อไรจะได้ชิม ทางเดินที่พระตถาคตพูดบ่อยที่สุด ย้ำบ่อยที่สุด ก็คือ "มรรคองค์ ๘" แต่แปลกที่ชาวพุทธไม่สนใจ (ทั้งคนสอนและคนฟัง) ถ้าทำไม่ครบทุกข้อ ก็ไม่ต้องหวังลมๆแล้งๆ ส่วนบางคนที่เราเห็นเขาทำแค่บางข้อแล้วบรรลุธรรมได้ นั่นก็เพราะเขาทำข้ออื่นๆ มาเยอะแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาทำแค่ข้อเดียวเหมือนอย่างที่เราเห็น
- มรรคองค์ ๘ คือ ทางที่ตรงที่สุด อย่าพยายามหาทางอื่นเลย ยิ่งหายิ่งหลง ยิ่งลองยิ่งเนิ่นช้า หรือถ้าบรรลุอรหันต์ด้วยวิธีอื่น ก็ไม่ใช่พระอรหันต์สาวกในแบบพุทธศาสนา
ผู้ที่มีฤทธิ์เดช ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอรหันต์จริง
ผู้ที่กล้าประกาศตัวเองว่า "ฉันเป็นพระอรหันต์" ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอรหันต์จริง
ผู้ที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเลื่อมใสศรัทธายกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอรหันต์จริง
ผู้ที่มียศสูง ผู้ที่มีลาภมาก ผู้ทีมีอายุยืน ผุ้ที่เจ็บป่วยน้อย ผู้ที่ผิวพรรณผ่องใส ผู้ที่มีบริวารมาก ผู้ที่มีเมตตามาก ผู้ที่เคร่งศีล ผู้ปฏิบัติเคร่งครัด ผู้มีมารยาทดี ผู้ที่พูดจาไพเราะ ผู้ที่ท่องจำพระไตรปิฎกได้หมด ผู้ที่เทศน์เก่งเต็มไปถ้อยคำอันมีเหตุผล ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพระอรหันต์จริง
ทีสำคัญคือ "ใครเป็นอรหันต์ หรือไม่เป็น มันเรื่องของเขา" เราจะไปยุ่งทำไม
"เรื่องตัวเองไม่สนใจ มัวแต่ไปสนใจเรื่องคนอื่น" แล้ว "เมื่อไรจะรู้จักตัวเองสักที"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น