>>> ไปงานศพคุณยายคนหนึ่ง ช่วงวันจัดงานศพลูกหลานแกก็เศร้าเสียใจกันตามปกติวิสัยของชาวบ้าน พอเผาศพเสร็จแล้ว วันถัดมาลูกหลานก็ต่างคนต่างก็ไปติดต่อขอรับเงินประกันชีวิตของคุณยาย ได้กันถ้วนหน้าคนละเป็นหลายหมื่นหลายแสน ความเสียใจไม่ปรากฏให้เห็นเลย กระแสลูกที่หนึ่งคือ มีแต่พูดกันว่าใครได้เงินเท่าไร เสียดายที่ทำประกันน้อยไปหน่อย กระแสลูกที่สองต่อมาก็คือ พวกลูกของคุณยายซึ่งอายุเกินห้าสิบหรือหกสิบขึ้นไป ก็เที่ยวตระเวนไปติดต่อทำประกันชีวิตไว้คนละหลายๆแห่ง เผื่อว่าตายไปแล้วจะได้เงินประกันมากๆ ถ้าไม่ไปบรรดาหลานๆ ก็จะพาไปทำ คำถามที่น่าคิด ก็คือ
- ชาวบ้านเขาก็ไม่เห็นกังวลใจเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เขาก็บอกด้วยว่า ใครๆ ก็ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา (แล้วทำไม.. พระพุทธเจ้ามาบอกให้เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ?)
- ชาวบ้านเขาก็บอกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา มันว่าง และมันก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น (แล้วทำไม.. พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นโลก “มันว่าง” “มันเป็นเช่นนั้นเอง” แต่ท่านไม่กลับมาเสวยสุขอยู่อย่างชาวโลกอีก ไม่กลับมาทำงานราชการ หรือลูกจ้าง หรือประกอบธุรกิจส่วนตัวอีก กลับหลีกไปอยู่ป่าอยู่ดง มักน้อยสันโดษ ทำไม?)
หรือเมื่อบรรลุอรหันต์แล้วก็น่าจะกลับมาปกครองเมือง ปกครองราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ออกกฎนั่นกฎนี่ก็ได้ สร้างประเพณีแบบนั้นแบบนี้ให้ชาวเมืองทำตามก็ได้ เอาแบบเป็นศีลธรรมชั้นดีเลยก็ได้ มันก็จะยิ่งได้คนนับถือศาสนาพุทธมากว่าการไปเดินสอนทีละคนสองคนเสียอีก หรือแสดงอภินิหารให้เยอะๆ ทำนายอนาคตให้มันชัดๆ จะได้ช่วยชาวเมืองชาวโลกในการป้องกันและรับมือ หรือดูอดีตให้คนนั้นคนนี้ พาไปทัวร์นรกสวรรค์เป็นรอบๆ เขายิ่งจะเชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง เกิดศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็จะมาเป็นสาวกกันมากมาย หรือไม่ก็กลับมาทำงานบริหารบ้านเมือง อยู่กับครอบครัว ใช้หลักธรรมะควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตประจำวัน หรือควบคู่ไปกับการปกครองเมืองให้มีประสิทธิภาพ แต่ทำไม “พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านไม่ทำกันอย่างนี้” มันน่าคิด?? หรือท่านหมดความเมตตาไปแล้ว??
หรือว่า..พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ เป็นแค่มนุษย์พวกที่กลัวความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มากเกินไป พูดง่ายๆ คือ “คิดมาก กังวลเกินเหตุ” ?
ปล. แต่ไอ้เรามันก็ดันเป็นคน คิดมาก กังวลเกินเหตุ ด้วยนะซิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น